วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

หมวกลิเวอร์พูลสีดำปัก You'll Never Walk Alone

หมวกลิเวอร์พูลสีดำปัก You'll Never Walk Alone

🏆 หมวกลิเวอร์พูลสีดำปัก You'll Never Walk Alone
🔖 329 บาท ฟรีค่าส่ง (ems,flash)
⚡️ 349 บาท  เก็บเงินปลายทาง
💗 เด็กหงส์พันธุ์แท้ 💯% ควรมีไว้ใน ครอบครอง ใส่วิ่งก็ได้ ใส่เที่ยวก็เทห์

✅ หมวกลิเวอร์พูลเท่ ๆ จะใส่วิ่ง ใส่เที่ยว ใส่ออกกำลังกาย ใส่คู่อะไรก็ดูดี
✅ ป้องกันแสงแดด  ปีกหมวกช่วยปกป้องดวงตาของคุณจากแสงแดด
✅ เป็นผ้าไมโครโพรีเอ​สเตอร​์ น้ำหนักเบา ใส่วิ่งก้อได้ ใส่เที่ยวก้อดี
✅ การระบายความชื้น ผลิตจากวัสดุที่แห้งเร็ว และระบายเหงื่อได้ง่าย
✅ ความมั่นคงแข็งแรง
✅ ปรับขนาดได้ด้วยแถบตีนตุ๊กแก เหมาะกับศีรษะทุกขนาด
✅ หมวกรุ่นนี้ช่วยให้ผมของคุณอยู่ทรงสวยขณะวิ่ง

🛒  สนใจสั่งซื้อ Inbox ราคา 329 บาท ฟรีส่ง ems

หมวกลิเวอร์พูลสีดำปัก You'll Never Walk Alone

หมวกลิเวอร์พูลสีดำปัก You'll Never Walk Alone

หมวกลิเวอร์พูลสีดำปัก You'll Never Walk Alone

หมวกลิเวอร์พูลสีดำปัก You'll Never Walk Alone



วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2563

Smart Ok Air Purifier พัดลมฟอกอากาศ แถมฟรี ไส้กรองเครื่องฟอกอากาศ


 Smart Ok Air Purifier พัดลมฟอกอากาศ แถมฟรี ไส้กรองเครื่องฟอกอากาศ
สำหรับคนที่รักสุขภาพ ฝุ่นที่มีในบ้านตามพื้น ตามผนัง หรือแม้กระทั่งฝุ่นข้างนอกบ้านนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องให้ความสำคัญ ซึ่งฝุ่นนั้นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณ และคนในบ้านเกิดอาการไอจาม เสี่ยงเป็นภูมิแพ้ อันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ และระบบต่างๆของร่างกาย นอกจากนั้นอาจเกิดอาการคัน หรือผื่นแพ้ขึ้นได้

ขอแนะนำพัดลมฟอกอากาศที่ช่วยดูแลระบบทางเดินหายใจของคุณให้ปลอดภัยจากฝุ่นร้ายต่างๆ ที่เป็นสาเหตุในการเกิดโรคร้ายมากมาย ไม่ส่าจะเป็นปัญหาภูมิแพ้ การไอจาม และโรคอื่นๆ เอาใจคนรักสุขภาพ สามารถนำไปเป็นของขวัญ หรือซื้อมาใช้เอง ก็คุ้มค่า
Smart Ok Air Purifier พัดลมฟอกอากาศ คุณภาพดีที่สามารถกรองฝุ่นค่า PM 2.5 ได้ถึง 99% ช่วยปกป้องสุขภาพของตัวคุณเอง และคนที่คุณรักได้อย่างดีเยี่ยม หมดกังวลเรื่องของอันตรายที่เกิดจากฝุ่น นอกจากนั้นยังลดการใช้ไฟของคุณได้มากกว่าเดิม เพราะพัดลมฟอกอากาศตัวนี้นั้นกินไฟเพียง 23 สตางค์/ชั่วโมงเท่านั้น

มอก. 934-2558 และ 1516-2549 ) และมาตรฐาน SGS สำหรับมาตรฐานเครื่องกองอากาศระดับสากล

คุณสมบัติ

  • กรองฝุ่นค่า PM 2.5 ได้ 99%
  • ค่าประสิทธิภาพ 39.33 ลูกบาตรเมตร/นาที
  • ขนาดห้อง 14 ตารางเมตร ใช้เวลากรองใน 1 ห้องประมาณ 10 นาที
  • ไส้กรองใช้ได้ 6 เดือน( 8 – 12 ชั่วโมง)
  • กินไฟ 23 สตางค์/ชั่วโมง
  • สินค้าผลิตจากประเทศไทย ภายใต้มาตรฐานอุตสาหกรรม 2 มาตรฐาน
  • รับประกันมอเตอร์ 3 ปี

ข้อมูลจำเพาะ

  • กระแสไฟ 220 โวลต์
  • กำลังไฟ 57 W
  • โบลเว่อร์ขนาด 145 มิลลิเมตร


ขนาดสินค้า
ขนาดเครื่อง 26.5x25x74.5 เซนติเมตร

น้ำหนักสินค้า
6 กิโลกรัม

สินค้าในชุดประกอบด้วย
Smart Ok Air Purifier พัดลมฟอกอากาศมูลค่า 590 บาทไส้กรองระบบ HEPA Filter - กรองฝุ่นขนาด PM 2.5

คำแนะนำในการใช้

  • อ่านคู่มือการใช้งานให้ละเอียด
  • ใช้ฟองน้ำ หรือผ้าแห้งเท่านั้นในการทำความสะอาดฐานเครื่อง
  • เมื่อใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรเก็บเครื่องให้เป็นระเบียบ เพื่อที่จะได้สะดวกในการใช้งานครั้งต่อไป

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรใช้นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ของเครื่อง
  • ห้ามใช้ผงซักฟอกในการทำความสะอาดตัวเครื่อง เพราะอาจทำให้ตัวเครื่องเกิดความเสียหายได้
  • ห้ามฉีดล้างตัวเครื่องและหัวพ่นไอน้ำกับน้ำโดยตรง
  • ไม่ควรใช้งานหากสายไฟเสียหาย หรือตัวเครื่องเกิดการชำรุด
  • ไม่ควรตั้งพัดลมฟอกอากาศไว้ใกล้แหล่งน้ำ หรือใกล้วัตถุไวไฟ

Microlife digital thermometer ปรอทวัดไข้ดิจิตอล เทอร์โมมิเตอร์ รุ่น MT1611 (01356)





เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ Microlife digital thermometer ของแท้....แบรนด์ชั้นนำของสวิตเซอร์แลนด์

คุณสมบัติ 
  • ปรอทวัดไข้ดิจิตัล microlife รุ่น MT - 1611 สามารถวัดอุณหภูมิร่างกายได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีความทนทานสูง 
  • แสดงหน่วยที่วัดเป็น องศาเซลเซียส สามารถวัดค่าอุณหภูมิได้ตั้งแต่ +32.0 - +43.9 องศาเซลเซียส 
  • ค่าความแม่นยำ +/- 0.1 องศาเซลเซียส ระหว่าง 34.0 - 42.0 องศาเซลเซียส 
  • สามารถวัดได้อุณหภูมร่างกายได้ทั้งทางปาก รักแร้ และทางทวารหนัก 
  • สามารถกันน้ำได้ 100% 
  • วัดค่าเป็นหน่วยองศาเซลเซียส และอ่านค่าได้ทศนิยมหนึ่งตำแหน่ง (3 digit LCD display, minimum display unit : 0.1 c) 
  • เปิด - ปิดเครื่องง่ายเพียงปุ่มเดียว 
  • ง่ายต่อการอ่านผล เมื่อเครื่องพร้อมใช้งาน เสียง beep จะดังขึ้นให้คุณทราบ 
  • ใช้เวลาเพียงแค่ 60 วินาที ในการวัดอุณหภูมิของร่างกาย ทางปาก/สอดในช่องทวารหนัก 
  • ถ้าวัดทางรักแร้ จะใช้เวลาประมาณ 2 นาที 
  • ถ้าไม่มีการใช้งานนาน 10 นาทีโดยไม่ได้กดปิดเครื่อง เครื่องจะปิดอัตโนมัติเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ 
  • ส่งเสียงเตือนเมื่อวัดค่าเสร็จ 
  • บันทึกค่าการวัดครั้งล่าสุดได้ (Auto display memory) 
  • ง่ายต่อการถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ 
  • แบตเตอรี่ 1.5 V button size battery 
  • สามารถทำความสะอาดได้ โดยใช้ผ้าแห้งเช็ด หรือใช้สำลีชุบ Alcohol เช็ดได้ 
  • มีสัญญาณเตือนเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด 
  • รับประกันสินค้า 2 ปี (ข้อมูลจากเอกสารประกอบการใช้งาน) 
** วิธีการใช้งาน ** 
  1. กดปุ่มเปิด/ปิด หน้าจะจะปรากฏตัวเลข ประมาณ 1 วินาทีและมีเสียง beep 1 ครั้ง เพื่อเป็นการยืนยันว่าหน้าจอทำงานปกติ 
  2. จากนั้นหน้าจอจะแสดงผล อุณหภูมิครั้งสุดท้ายที่ทำการวัด 
  3. ที่หน้าจอ " C"กระพริบอยู่ด้านหลังตัวเลขของอุณหภูมิเพื่อแสดงว่าเครื่องวัด พร้อมใช้งานแล้ว การดูแลรักษา ถ้ามีการใช้วัดอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่เริ่มการใช้งานใหม่ให้ทำความสะอาดปลายที่วัดหรือบริเวณที่เป็นโลหะโดยใช้ผ้าหรือสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดและเช็ดอีกครั้งด้วยผ้าแห้งก่อนใช้งาน 
ภายในกล่องประกอบด้วย 
  • ปรอทดิจิตัล microlife รุ่น MT 
  • 1611 จำนวน 1 อัน 
  • กล่องพลาสติกสำหรับบรรจุปรอท จำนวน 1 อัน 
  • เอกสารประกอบการใช้งาน 

คำเตือน : 
โปรดอ่านรายละเีอียดในฉลากก่อนใช้และการใช้เทอร์โมมิเตอร์นี้ไม่สามารถทดแทนการปรึกษาและพบแพทย์ได้

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2563

ทดสอบเครื่องฟอกอากาศในไทย พบหลายแบรนด์ทำไม่ได้อย่างที่โฆษณา


ข่าววงการไอที“ฉลาดซื้อ” ทดสอบเครื่องฟอกอากาศในไทย พบหลายแบรนด์ทำไม่ได้อย่างที่โฆษณา

สถานการณ์ PM 2.5 ในกรุงเทพ​ ณ​ ตอนนี้ยังคงแย่อย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น (คงได้แต่ขอฝน) จนเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเริ่มเล็งเครื่องกรองฝุ่นมาใช้งานบ้างแล้ว นิตยสาร “ฉลาดซื้อ” ฉบับออนไลน์ก็ได้เผยแพร่ผลทดสอบเครื่องฟอกอากาศที่จำหน่ายในประเทศ ซึ่งก็มีบางรุ่นที่สอบตก

ทางนิตยสารออนไลน์ ฉลาดซื้อ ได้เปรียบเทียบผลทดสอบเครื่องกรองฝุ่น PM2.5 ทั้งหมด 10 รุ่น ได้แก่
  1. Hatari HT-AP12 ราคา 4,888 บาท
  2. Philips AC1215/20 ราคา 7,990 บาท
  3. Mi AirPurifier 2S ราคา 4,098 บาท
  4. Mitsuta MAP450 ราคา 3,990 บาท
  5. Hitachi EP-A3000 ราคา 4,900 บาท
  6. Bwell CF-8400 ราคา 9,900 บาท
  7. Blueair Joy S ราคา 9,900 บาท
  8. Claire C2BU-1933 ราคา 6,990 บาท
  9. Sharp FP-J30TA-B ราคา 3,990 บาท
  10. Fanslink Air D. Cube ราคา 1,990 บาท
ขั้นตอนและกรรมวิธีการทดสอบ
ทางนิตยสารฉลาดซื้อได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศโดยมีการปรับปรุงจากมาตรฐาน JEM* ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศครัวเรือนประเทศญี่ปุ่น มีการใช้เครื่องมืออุปกรณ์และสถานที่ในการทดสอบดังนี้
  • เครื่องสร้างฝุ่น TOPAS Aerosol Generator ATM 226 ที่จะสร้างฝุ่นละอองขนาด 0.1 – 0.9 ไมครอน ออกมา โดยส่วนใหญ่จะมีขนาดอยู่ที่ 0.2 ไมครอน
  • Dusttrack DRX Aerosol Monitor 8533 เป็นเครื่องที่ใช้ในการวัดความเข้มข้น PM 2.5 โดยสามารถวัดค่าได้แบบ Real-Time
  • ห้องที่ใช้ทดสอบขนาด 26.46 ลูกบาศก์เมตร (กว้าง 3.6 x ยาว 3 x สูง 2.45 เมตร) ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศที่ใช้ทดสอบเอาไว้บริเวณริมห้อง สูงจากพื้น 70 ซม. และติดตั้งเครื่องวัดความเข้มข้นฝุ่นสูงจากพื้น 70 ซม. ตรงกลางห้อง
*Standards of The Japan Electrical Manufacturers’ Association (JEM Standards)

วิธีทดสอบ
ก่อนอื่นทีมงานของนิตยสารฉลาดซื้อจะทำการตรวจสอบห้องเพื่อทดสอบความพร้อม ว่าห้องได้มาตรฐานหรือไม่โดย
  1. เปิดเครื่องสร้างฝุ่นละอองจนได้ความเข้มข้นของฝุ่น PM 2.5 ในช่วง 1.0 – 5.0 mg/m3
  2. ทิ้งห้องไว้ 30 นาที
  3. ตรวจสอบการลดลงของฝุ่นละอองตามธรรมชาติ (Natural Decay) จะต้องไม่น้อยกว่า 80% ของค่าเริ่มต้น
การทดสอบประสิทธิภาพเครื่องฟอกอากาศแต่ละเครื่องจะทำโดยมีขั้นตอนดังนี้
  1. เปิดเครื่องสร้างฝุ่นละอองจนได้ความเข้มข้นของฝุ่น PM 2.5 ในช่วง 1.0 – 5.0 mg/m3
  2. เปิดเครื่องฟอกอากาศตรวจสอบหาการลดลงของฝุ่นละออกขณะเปิดเครื่องฟอกอากาศ (Decay of dust concentration) เป็นเวลา 90 นาที หรือจนกว่าค่าความเข้มข้นของ PM 2.5 จะเหลือน้อยกว่า 0.20 mg/m3 หรือ 20 µg/m3
  3. แต่ละเครื่อง ทดสอบเป็นจำนวนเครื่องละ 2 ครั้ง เพื่อความแม่นยำ
  4. คำนวนหาประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศ โดยจะได้มาเป็นค่า CADR หรือ อัตราการไหลของอากาศบริสุทธิ์
ผลการทดสอบ
โดยผลการทดสอบถูกแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
  1. เครื่องฟอกอากาศที่ฟอกอากาศได้น้อยมากจนผู้ทดสอบพบว่าไม่สามารถลดปริมาณฝุ่นได้คือยี่ห้อ Clair
  2. เครื่องฟอกอากาศที่ฟอกอากาศได้ แต่ไม่เป็นไปตามสเปกที่ระบุไว้คือยี่ห้อ Blueair ที่ลดปริมาณฝุ่นได้ในพื้นที่ 13.82 ตารางเมตร แต่ไม่เป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งานที่ระบุว่าเหมาะกับห้อง 16 ตารางเมตร
  3. เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องที่มีขนาด มากกว่า 20 ตารางเมตร ไม่เกิน 30 ตารางเมตร และเป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ ยี่ห้อ Hitachi, Bwell, Fanslink Air D และ Sharp
  4. เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ได้กับห้องที่มีขนาดมากกว่า 20 ตารางเมตร ไม่เกิน 30 ตารางเมตร แต่ไม่เป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ Hatari และ Mitsuta
  5. เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องที่มีขนาด มากกว่า 30 ตารางเมตร และเป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ Philips และ Mi
สรุป แบรนด์ข้างต้นที่สามารถซื้อไปใช้ได้ตามสเปกที่ระบุได้จริงคือ Hitachi, Fanshlink Air D, Sharp, Philips, Bwell และ Mi ครับ ซึ่งอ่านผลการทดสอบเต็ม ๆ ได้จากที่มาครับ จะมีรายละเอียดว่าเหมาะสำหรับห้องขนาดเท่าไหร่ด้วย


อ้างอิง ฉลาดซื้อ

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2563

Xiaomi Mi Note 10 Pro กล้องหลังละเอียดเกิน 100 ล้านพิกเซล


หน้าจอของ XIAOMi Mi Note 10 มาพร้อมกับขนาด 6.39 นิ้วความละเอียดหน้าจอ 2400×1080 พิกเซล พร้อมกับกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล มีเซนเซอร์มากมายและระบบสแกนใบหน้าที่ทำงานได้ลงตัวพอสมควร นอกจากนี้ Notch สามารถสั่งปิดได้ ภาพรวมหน้าจอแบบ AMOLED ให้สีที่สดและสวยงาม บนสุดหน้าจอมีลำโพงสนทนา, และออกเสียงได้

รอบตัวเครื่องเป็นวัสดุดีมีคุณภาพพร้อมกับโครเมี่ยมที่สวยบงามแต่ฝั่งซ้ายไม่มีปุ่มควบคุมอะไร ส่วนฝั่งขวามีปุ่มปรับระดับเสียง, ปุ่ม สำหรับเปิด และ ปิดตัวเครื่อง พร้อมกับถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM

ส่วนบนมาพร้อมกับไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน, อินฟราเรดสำหรับสั่งเครื่่องใช้ไฟฟ้า ส่วนล่างมาพร้อมกับ USB-C และช่องเสียบหูฟัง

ด้านหลังออกแบบให้รับกับมือและเป็นกระจกเหมือนกับด้านหน้า มีกล้องทั้งหมด 5 ตัวครบครันพร้อมกับ LED Flash โลโก้ Xiaomi และมีให้เลือกทั้งหมด 3 สีสวยงามทุกสีตามท้องเรื่อง

Mi Note 10 Pro ทลายขีดจำกัดกล้องถ่ายภาพสมาร์ทโฟน อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
การพัฒนาสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ นอกจากเรื่องของสเปคที่จัดเต็มในราคาที่คุ้มค่าแล้ว เรื่องของกล้องบนสมาร์ทโฟนนั้น ก็ถือเป็นอีกสิ่งที่ทำได้ดี และมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ และใน Mi Note10 Pro ก็คือผลลัพธ์ที่สุดยอด เพราะนี่คือสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลก ที่สามารถถ่ายได้ความละเอียดถึง 108 ล้านพิกเซล

ความละเอียดขนาดนี้ ถ้าจะเทียบให้เห็นภาพ ก็คือ ภาพที่ถ่ายด้วย Mi Note10 Pro นั้น มีความคมชัดขนาดที่เอาไปพิมพ์เป็นป้ายบิลบอร์ดขนาดความสูง 4.24 เมตรได้เลย!

ระบบเซนเซอร์ตัวกล้องหลักนั้น ใช้เป็น ISOCELL Bright HMX ที่ทาง Xiaomi และ Samsung พัฒนาร่วมกัน เป็นเซนเซอร์กล้องสมาร์ทโฟนที่มีขนาดใหญ่ถึง 1/1.33 นิ้ว

กล้องหลังของ Mi Note 10 Pro นั้น เป็นโมดูลที่ทำงานร่วมกันถึง 5 เลนส์ ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่มีกล้องหลัง 5 ตัวเป็นรุ่นแรกของโลก

กล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.69 พร้อมระบบกันสั่น OIS แบบสี่แกน
กล้อง Telephoto 5 ล้านพิกเซล ซูมแบบ Hybrid ได้ 10x และ ซูม Digital ได้ไกลถึง 50x ขนาดรูรับแสง f/2.0 มีระบบกันสั่น OIS

กล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra-Wide 20 ล้านพิกเซล เก็บมุมมองภาพระยะ 117 องศา รูรับแสง f/2.2
กล้อง Telephoto 12 ล้านพิกเซล ซูมออพติคัลได้ 2x พิกเซลขนาด 1.4µm แบบ Dualpixel รูรับแสง f/2.0
กล้อง Marcro 2 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 2-10 เซนติเมตร
การทำงานประสานกันของกล้องหลังทั้ง 5 ตัวนี้ ทำให้ Mi Note 10 Pro สามารถถ่ายภาพเก็บระยะซูมได้ตั้งแต่ 0.6 ถึง 50 เท่า เรียกได้ว่า สามารถเก็บได้ทุกระยะภาพที่ต้องการได้ภายในตัวเดียว

Mi Note 10 Pro รีวิว กล้อง DxOMark
ตัวฮาร์ดแวร์กล้องของ Mi Note 10 Pro นั้น เป็นเซ็ตอัพเดียวกันกับ Mi CC9 Pro Premium Edition ที่ทาง DxOMark หน่วยงานทดสอบเรื่องกล้องระดับโลก ได้ให้คะแนนรีวิวสูงถึง 121 คะแนน ถือเป็นคะแนนที่สูงเป็นอันดับ 1 ในปี 2019
Xiaomi Mi Note 10 Series รุ่นไหนที่เหมาะสำหรับคุณหรือเปล่า?
สเปคหลักๆ ของMi Note 10 และMi Note 10 Pro จะใกล้เคียงกัน ตั้งแต่ขนาดหน้าจอที่เป็น 6.47 นิ้ว AMOLED FHD+ ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 730G แบตเตอรี่ 5260 mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว 30W และชาร์จไร้สาย 30W กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล

ตัวกล้องหลังจะเป็น 5 ตัวเหมือนกัน จะมีความแตกต่างกันตรงที่กล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล ในMi Note 10 จะเป็น 7 ชิ้นเลนส์ ส่วนMi Note 10 Pro จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 8 ชิ้นเลนส์ ที่ช่วยให้สามารถเก็บภาพได้คมชัดมากขึ้นไปอีก

ส่วนที่ต่างกันอีกก็คือหน่วยความจำ ในMi Note 10 จะเป็น RAM 6GB + 128GB ส่วน Mi Note10 Proจะเป็น RAM 8GB + 256GB

ใครที่อยากจัดเต็มทั้งสเปคแรง พื้นที่เก็บที่ใหญ่กว่า แนะนำเลยว่าเลือก Mi Note10 Pro ไปเลย ไม่ผิดหวังแน่นอน ส่วนใครอยากเซฟต้นทุน จะเลือกเป็นรุ่นปกติ Mi Note 10ก็ถือว่าคุ้มราคากับเสปคที่ได้ และกล้องถ่ายภาพที่ทรงประสิทธิภาพสุดๆ ระดับนี้

รายละเอียด Mi Note 10 Pro 8+256GB 
  • สมาร์ทโฟน (โทรศัพท์มือถือพร้อมระบบปฏิบัติการ)
  • จอแสดงผล AMOLED 24-bit (16 ล้านสี)
  • หน้าจอหยดน้ำ (Waterdrop Display)
  • กว้าง 6.47 นิ้ว (แนวทะแยง)
  • ความละเอียด 1080 x 2340 พิกเซล (398 ppi)
  • ระบบเซ็นเซอร์ (Sensor)
  • ระบบตรวจสอบลายนิ้วมือ (Fingerprint)
  • ระบบจดจำใบหน้า (Face Detection)
  • ระบบหมุนภาพอัตโนมัติ (Accelerometer)
  • ตรวจจับความเคลื่อนไหวของตัวเครื่อง (Accelerometer)
  • ระบบเปิด/ปิดหน้าจออัตโนมัติขณะสนทนา (Proximity)
  • ระบบเซนเซอร์หมุนภาพ (Gyroscope)
  • มีสีให้เลือก (Colors) : Black, White, Green
  • เครือข่าย GSM 850/900/1800/1900 MHz
  • WCDMA 800/800/850/900/1700/1800/1900/2100 MHz
  • LTE Bands 1/ 2/ 3/ 4/ 5/ 7/ 8/ 18/ 19/ 20/ 26/ 28/ 38/ 40
  • เทคโนโลยีการรับ/ส่งข้อมูล 2G: EDGE/GPRS - 3G - 4G
  • ใช้งาน Nano-SIM
  • รองรับ 2 ซิมการ์ด
  • ระบบปฏิบัติการ (OS, CPU)
  • ระบบปฏิบัติการ: MIUI 11 based on Android 9.0 (Pie)
  • หน่วยประมวลผล : Qualcomm Snapdragon 730G Octa Core ความเร็ว : 2.2 GHz
  • หน่วยความจำ : RAM 8GB ROM 256GB
http://tiny.cc/npkvkz

“Stan Smith” กับเรื่องราวของเทนนิสสู่รองเท้าระดับตำนานของ Adidas

“บางคนคิดว่าผมเป็นรองเท้า” Stan Smith

กว่า 34 ปีแล้วนับตั้งแต่ที่ Stan Smith นักเทนนิสชาวสหรัฐ ฯ เจ้าของสองรางวัลแกรนด์สแลม ได้ประกาศแขวนแร็กเก็ตและเดินออกจากวงการเทนนิสไป ชื่อเสียงของ Stan Smith ก็ยังคงถูกพูดถึงอย่างมากในปัจจุบัน อันเนื่องมาจากรองเท้ารุ่นซิกเนเจอร์ของเขาอย่าง “ADIDAS Stan Smith” ที่กลายมาเป็นรองเท้าที่ได้ความนิยมมาก

สแตน สมิธ (Stan Smith) คือนักเทนนิสชาวสหรัฐฯ อดีตมือหนึ่งของโลกที่มีชื่อเสียงในช่วงยุค 70s เขาเริ่มต้นเทิร์นโปรเมื่อปี 1969 และรีไทร์ไปในปี 1985 ตลอดเส้นทางในฐานะนักหวดลูกสักหลาด สมิธ คว้าแชมป์ไปทั้งสิ้น 53 รายการ และสามารถคว้าแกรนด์สแลมไปได้สองครั้งนั่นก็คือการแข่งขัน ยูเอส โอเพ่น (1971) และ วิมเบิลดัน (1972) สมิธ ถูกบรรจุเข้าหอเกียรติยศเมื่อปี 1987 และนิตยสาร TENNIS ยังยกย่องให้เขาเป็นหนึ่งในสี่สิบนักเทนนิสที่ดีที่สุดตลอดกาลอีกด้วย
แต่ความสำเร็จในอดีตเหล่านั้นก็อาจจะเทียบไม่ได้กับความสำเร็จตลอดกาลที่เขากับอาดิดาสร่วมกันทำไว้ในรองเท้าผ้าใบธรรมดา ที่ชื่อว่า “อาดิดาส สแตน สมิธ” แต่รองเท้ารุ่นนี้มันจะเกิดขึ้นมาไม่ได้เลย ถ้าหากชายที่ชื่อ โรแบร์ ไอเย ไม่หมดสัญญากับอาดิดาสและตัว สมิธ เองไม่ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา

ในปี 1965 อาดิดาส นำโดย ฮอสท์ ดาสส์เลอร์ ลูกชายของ อดอล์ฟ “อาดิ” ดาสส์เลอร์ (ผู้ก่อตั้งแบรนด์อาดิดาส) ได้ทำการเปิดตัวรองเท้าสำหรับตีเทนนิสคู่แรก โดยมีหนึ่งในสองนักเทนนิสระดับโลกชาวฝรั่งเศสอย่าง โรแบร์ ไอเย เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของรองเท้ารุ่นนี้ ตัวรองเท้ารุ่นนี้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นหนังรองเท้าสีขาวที่มีรูด้านข้างที่เจาะไล่เป็นสามแถบสื่อถึงความเป็นอาดิดาส การออกแบบมาเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า บวกกับพื้นยางที่เหมาะกับการเล่นเทนนิส และลายเซ็นของ ไอเย ที่อยู่ด้านข้างก็ยิ่งทำให้รองเท้ารุ่นนี้ของอาดิดาส ถูกยกย่องว่าเป็นรองเท้าเทนนิสที่ดีที่สุดในท้องตลาด (ตอนนั้น)
ในปี 1971 อาดิดาส ที่กำลังทำรายได้จากเจ้ารองเท้ารุ่นนี้อยู่ดี ๆ ก็ต้องพบกับเรื่องปวดหัวเพราะ ไอเย ดันมาประกาศแขวนแร็กเก็ต ฮอสท์ ในฐานะเจ้าของบริษัทเชื่อว่าเจ้ารองเท้ารุ่นนี้มีศักยภาพมากพอที่จะเป็นตำนานได้ เขาคิดว่าขืนไม่ทำอะไรเข้าสักอย่างมันอาจจะถูกลืมไปตลอดกาลก็เป็นได้ ทันใดนั้นเอง ฮอสท์ ก็ยกหูคุยกับ โดนัลด์ เดลล์ อดีตกัปตันทีมเดวิส คัพ สหรัฐฯ ที่ผันตัวมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับนักกีฬาดัง ๆ เดลล์ ถือเป็นคนที่มีอิทธิพลในช่วงนั้นเขาดูแลนักเทนนิสดัง ๆ หลายคนเช่น อย่าง อาเธอร์ แอช และแน่นอน สแตน สมิธ

เดลล์ เสนอชื่อของ สมิธ เพื่อสานต่อโปรเจ็กต์ดังกล่าวให้กับทางอาดิดาสพิจารณา ซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาที่นักเทนนิสจากสหรัฐฯ หลายคนกำลังโชว์ฟอร์มได้ดี ในตอนนั้นวงการเทนนิสยังไม่มีการจัดอันดับมือวาง แต่ทุกคนรู้ดีว่าขณะนั้น สมิธ คือนักเทนนิสที่ดีที่สุดในโลก สุดท้ายอาดิดาส ที่ลังเลในช่วงแรกก็จับ สมิธ เซ็นสัญญาห้าปี แต่ก่อนหน้าที่ สมิธ จะมาจับมือกับทางอาดิดาส เขาใช้บริการรองเท้าจากสองแบรนด์ก็คือ ยูนิรอยัล และ คอนเวิร์ส ซึ่งเป็นการเซ็นสัญญาแบบทั้งทีม แต่สัญญาที่เขาได้จากอาดิดาสต่างออกไปมาก เพราะเป็นสัญญาแยกที่จะทำให้เขามีโอกาสด้านการตลาดมากขึ้น

“ผมกลายมาเป็นเพื่อนกับ ไอเย เพราะรองเท้ารุ่นนี้เลย” สมิธ ให้สัมภาษณ์

จากนักเทนนิสสู่แฟชั่นไอคอน ! สมิธ ทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาคือคนที่เกิดมาเพื่อเจ้าสิ่งนี้ กระแสความนิยมในตัวของรองเท้าคู่นี้ที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกดดันให้อาดิดาสออกรุ่นซิกเนเจอร์ของ สมิธ เสียที (ตอนแรกตัวรองเท้ายังคงมีชื่อของ ไอเย อยู่ในนั้นด้วย) เหตุการณ์นั้นกลายเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในปี 1978 ทำให้อาดิดาสมีการอัพเดตลายต่าง ๆ ที่บ่งบอกความเป็นสมิธเข้าไป ทั้งการใส่โลโก้อาดิดาสและชื่อของ สมิธ ที่ส้นเท้า รวมถึงตัดชื่อของ ไอเย ออก และเพิ่มหน้าของสมิธ (รุ่นแรกไม่มีหนวด mustache) บวกลายเซ็นเข้าไปที่ส่วนลิ้นของรองเท้า ล็อตแรกของรองเท้ารุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นในโรงงานของอาดิดาสที่เมืองลองเดอร์ไซม์ ประเทศฝรั่งเศส และปัจจุบันมันกลายเป็น สแตน สมิธ ที่มีคนต้องการมากที่สุด

“มันมีครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกรำคาญมากที่แพ้ครั้งแรกให้กับคนที่ใส่รองเท้าของผมอยู่” สมิธ ให้สัมภาษณ์กับ Sneaker Wars

ลายเซ็นต์ตัว S ที่เป็นเอกลักษณ์ของ สมิธ ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก เคธี แอนดรูว์ พนักงานต้อนรับแห่งสายการบินเดลต้า ที่เคยเข้าไปขอลายเซ็นต์ของ สมิธ และบอกกับเขาว่า “ลายเซ็นต์คุณเชยจัง”

“เธอคิดว่าลายเซ็นต์ของผมมันดูธรรมดาน่าเบื่อไป เพราะงั้นผมเลยเซ็นแค่ตัว S ตัวเดียวซะเลย” สมิธ พูดถึงที่มาของลายเซ็นต์บริเวณลิ้นของรองเท้า

ในช่วงยุค 80s เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นทำให้รองเท้าเทนนิสรุ่นที่ดีกว่า เบียด สแตน สมิธ ของอาดิดาส ตกลงจากการเป็นเจ้าแห่งรองเท้าเทนนิส อย่างไรก็ตามในปี 1988 สแตน สมิธ ถูกเปลี่ยนมุมมองจากการเป็นแค่รองเท้าเทนนิสธรรมดากลายเป็นรองเท้าแฟชั่นเต็มตัว โดยในปีดังกล่าวรองเท้ารุ่นนี้มียอดขายรวมทั่วโลกกว่า 22 ล้านคู่ และขายได้สูงสุดถึง 23.4 ล้านคู่ในปี 1994

แม้ สมิธ จะรีไทร์จากวงการแล้ว แต่รองเท้าของเขากลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของโลกแฟชั่นและทำเงินให้เขามาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 1973 สมิธ ได้รับเงินเรทคงที่มาทุก ๆ ปี จนถึงปี 2005 เดลล์ ในฐานะเอเยนต์ได้โน้มน้าวให้อาดิดาสจ่ายเงิน สมิธ ตามส่วนแบ่งของยอดขายจริง สุดท้ายอาดิดาสก็ยอมจ่ายเงินจำนวนนั้น สมิธ เพิ่งจะได้รับสัญญาตลอดชีพจากอาดิดาส เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เท่านั้นเอง แม้จะไม่มีการบอกถึงเงินจำนวนนั้น แต่ดูจากความฮอตของรองเท้ารุ่นนี้แล้ว เงินจำนวนนั้นน่าจะมากพอตัวเลย

“ผมทำเงินไม่ได้แบบไมเคิล จอร์แดนหรอก” สมิธ พูดไปขำไป โดยข้อมูลบ่งชี้ว่า จอร์แดน ที่ทำแบรนด์ร่วมกับไนกี้ ทำเงินให้เขาได้มากกว่าปีละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 พันล้านบาท

สแตน กลายเป็นรองเท้าที่มียอดขายอันดับหนึ่งของอาดิดาส ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาพวกเขามียอดขายเฉลี่ยปีละกว่า 50 ล้านคู่ และทำให้อาดิดาสต้องทำรุ่นพิเศษออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี 2011อาดิดาสสั่งหยุดการผลิตรองเท้ารุ่นนี้กว่าสองปี แน่นอนนี่คือกลยุทธ์ทางการตลาดของอาดิดาสเพื่อทำให้ สแตน สมิธ กลายเป็นของหายากขึ้นมา แต่ด้านตัว สมิธ เองก็ไม่เคยเห็นด้วยกับแนวคิดนี้

“ผมไม่ชอบไอเดียนั้นเลย แต่พวกเขา (อาดิดาส) ก็รู้แหละว่าทำอะไรอยู่” สมิธ ให้สัมภาษณ์

สมิธ มีชีวิตอยู่กับเทนนิสมากว่า 38 ปี ทุกครั้งที่เขาตีเทนนิส เขาถูกสอนมาให้ตีลูกผ่านเน็ทให้เร็วแรงและต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กว่า 34 ปีที่แล้วเขาถูกคนทั้งโลกจดจำในฐานะนักเทนนิสที่ดีที่สุด แต่ปัจจุบันชายคนนี้ทำเงินและโด่งดังมากกว่าสมัยที่เขาเคยเป็นนักเทนนิสเสียอีก
“ผมคอยบอกผู้คนเสมอว่าผมไม่ใช่นักเทนนิสอีกต่อไปแล้ว ผมเป็นแฟชั่นไอคอนต่างหาก”



ข้อมูลโดย https://thepeople.co/a-history-of-the-adidas-stan-smith/

50 ปีแห่งการขับเคลื่อนโลกแฟชั่น adidas Superstar รองเท้าเหนือกาลเวลา


สำหรับผู้ที่คลั่งไคล้ Sneakers ทั้งหลายคงรู้จักรองเท้าผ้าใบ Adidas รุ่น Superstar เป็นอย่างดี วันนี้เราได้ไปเฟ้นหาความจริงมาให้อ่านกันว่า ทำไมรองเท้าผ้าใบรุ่นนี้ถึงเป็นที่นิยมตลอดเวลา มันมีความเป็นมาอย่างไร

รองเท้าลายเท่อย่าง Adidas Superstar ปราฎสู่สายตาผู้คนเมื่อปลายๆ ปี 1969 และเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้คนมากขึ้นในปี 1970 โดยรุ่นแรกเป็นรองเท้าแบบ Low-top sneakers ขอบต่ำไม่หุ้มข้อ ภายนอกเป็นหนังหุ้มทั้งหมดและหัวรองเท้ามีลักษณะเป็นฝาเปลือกหอย นิยมใส่เล่นกีฬา โดยในช่วงนั้นคารีม อับดุล จับบาร์ นักบาสผู้ทำแต้มสูงสุดในประวัติศาสตร์ NBA ใส่รองเท้า Adidas Superstar ลงแข่งขันเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของลีค ทำให้เป็นกระแสนิยมอย่างมาก
เป็นระยะเวลา 50 ปีแล้ว ที่รองเท้า adidas Superstar ยืนหยัดเคียงข้างผู้มีอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรมแถวหน้าของโลกมากมาย เป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นนำสมัย สร้างมาตรฐานใหม่ให้รองเท้ากีฬาที่เคยโดดเด่นอยู่แค่ในสนามแข่งได้มาโลดแล่นในโลกแฟชั่นได้อย่างงดงาม และกลายเป็นไอเทมชิ้นโปรดของทั้งศิลปิน ดีไซเนอร์ นักดนตรี และนักกีฬา ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังสามารถรักษาความเป็นผู้นำและสะท้อนตัวตนของบุคคลผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้เสมอ
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งแรกเริ่ม adidas Superstar นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อยกระดับกีฬาบาสเก็ตบอลโดยเฉพาะ โดยทีมออกแบบของอาดิดาสประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศสได้พยายามหาทางในการนำยางมาประกอบที่หัวรองเท้าเพื่อปกป้องปลายเท้าของนักกีฬาที่สวมใส่ เชื่อมกับโครงรองเท้าอันเป็นเอกลักษณ์แบบที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน และเมื่ออาดิดาสประเทศฝรั่งเศสนำรองเท้าที่มีหัวเป็นยางหน้าตาคล้ายเปลือกหอยนี้ออกสู่สาธารณะ มันก็ได้รับความนิยมถล่มทลายจนเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติวงการรองเท้าเลยก็ว่าได้
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งแรกเริ่ม adidas Superstar นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อยกระดับกีฬาบาสเก็ตบอลโดยเฉพาะ โดยทีมออกแบบของอาดิดาสประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศสได้พยายามหาทางในการนำยางมาประกอบที่หัวรองเท้าเพื่อปกป้องปลายเท้าของนักกีฬาที่สวมใส่ เชื่อมกับโครงรองเท้าอันเป็นเอกลักษณ์แบบที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน และเมื่ออาดิดาสประเทศฝรั่งเศสนำรองเท้าที่มีหัวเป็นยางหน้าตาคล้ายเปลือกหอยนี้ออกสู่สาธารณะ มันก็ได้รับความนิยมถล่มทลายจนเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติวงการรองเท้าเลยก็ว่าได้

adidas Superstar กลายเป็นที่โด่งดังในวงการบาสเก็ตบอล NBA อย่างรวดเร็วผ่านสุดยอดผู้เล่นระดับตำนานอย่าง คารีม อับดุล-จาร์บาร์ และอีกมากมาย เพราะนอกจากจะมีดีไซน์ที่แปลกใหม่จนเป็นที่ฮือฮาแล้ว ยังเป็นรองเท้าที่ส่งเสริมศักยภาพของนักกีฬาได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งซับแรงกระแทกได้มากขึ้น เพิ่มความหนึบในการยึดเกาะ และป้องกันอาการบาดเจ็บได้ดีกว่ารองเท้ารุ่นอื่นในสมัยนั้น โดยคริส เซอร์เวิร์น ดีไซเนอร์ผู้ออกแบบ adidas Superstar ได้กล่าวเอาไว้ว่า “adidas Superstar ไม่ใช่แค่รองเท้าที่สวย แต่ยังช่วยให้พวกเขาเล่นได้ดีขึ้นด้วย”

ความยิ่งใหญ่ของ adidas Superstar ไม่ได้อยู่เพียงแค่ในโลกของบาสเก็ตบอลยุค 70s และ 80s เท่านั้น แต่ยังลุกลามมาถึงวงการสตรีทแฟชั่นผ่านวัฒนธรรมฮิปฮอปในมหานครนิวยอร์กด้วย และเมื่อศิลปินระดับแถวหน้าอย่าง Run DMC ใส่ adidas Superstar ขึ้นคอนเสิร์ตในสไตล์ที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ด้วยการเอาเชือกรองเท้าออกและเอาลิ้นรองเท้ามาไว้ด้านนอก adidas Superstar ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณเสรีและความมีชีวิตชีวาของวัยรุ่น รวมถึงยังเป็นเครื่องสะท้อนตัวตนของเหล่าคนเมืองและนักสเก็ตบอร์ดนับตั้งแต่นั้น และความนิยมแบบไร้พรมแดนวัฒนธรรมกั้นนั้นก็ทำให้ adidas Superstar เป็นรองเท้าที่ครองใจผู้คนทั่วโลก เป็นตัวแทนของความเปลี่ยนแปลง และเป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน

ครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นตัวตนของศิลปินระดับแถวหน้ามากมายที่ถ่ายทอดอยู่บนรองเท้า adidas Superstar ไม่ว่าจะเป็นลายพรางแบบ BAPE หรือสีสันจัดจ้านแบบครบสเปคตรัมของ Pharrell รวมถึง Undefeated, Bad Boy Records และคนอื่นๆ จนสามารถบอกได้ว่ารองเท้าสุดคลาสสิคอายุ 50 ปีคู่นี้นี้คือผืนผ้าใบชั้นดีที่พร้อมจะรองรับทุกความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด

จากจุดเริ่มต้นในสนามบาสเก็ตบอลยุค 70s adidas Superstar ได้สร้างมรดกตกทอดเอาไว้มากมาย ระหว่างการเดินทางร่วมกับบุคคลผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมทั่วโลก และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน adidas Superstar ก็จะถูกจดจำในฐานะสนีกเกอร์ระดับตำนานที่เป็นดั่งฟันเฟืองชิ้นสำคัญในการขับเคลื่อนวงการสตรีทแฟชั่นเสมอ


วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2563

กระเป๋า anello สะพายข้างและกระเป๋าพาดไหล่

กระเป๋าสะพายข้าง Anello Crossbody ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อผู้หญิงเพียงเพศเดียว แต่เพศชายยังสามารถใช้ได้ด้วยเช่นกัน ด้วยการออกแบบที่ดูเรียบง่าย แต่ดูทันสมัย มีหลากหลายรูปแบบและสไตล์เลือก ไม่ว่าจะเป็นใบเล็ก ใบใหญ่ ขนาดมินิ ไม่ว่าจะต้องการจุของมากมายหรือจุของเพียงเล็กน้อย ทางแบรนด์ได้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างครอบคลุมทุกความต้องการ

ข้อดี
  • มีหลากหลายขนาดให้เลือก
  • มีสีให้เลือกเยอะ หลากหลายวัสดุ และมีสไตล์ให้เลือกใช้ตามความต้องการ
  • มีทั้งสำหรับหญิงและชาย
ข้อเสีย
  • ทรงกระเป๋าสำหรับผู้ชายมีแต่แบบผ้า ไม่ค่อยมีแบบหนังให้เลือกมากมายนัก

วันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

anello กระเป๋าโท้ท Tote Bag


กระเป๋าสะพายข้างที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อผู้หญิงเพียงเพศเดียว แต่เพศชายยังสามารถใช้ได้ด้วยเช่นกัน ด้วยการออกแบบที่ดูเรียบง่าย แต่ดูทันสมัย มีหลากหลายรูปแบบและสไตล์เลือก ไม่ว่าจะเป็นใบเล็ก ใบใหญ่ ขนาดมินิ ไม่ว่าจะต้องการจุของมากมายหรือจุของเพียงเล็กน้อย ทางแบรนด์ได้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างครอบคลุมทุกความต้องการ

ข้อดี
  • มีหลากหลายขนาดให้เลือก
  • มีสีให้เลือกเยอะ หลากหลายวัสดุ และมีสไตล์ให้เลือกใช้ตามความต้องการ
  • มีทั้งสำหรับหญิงและชาย

ข้อเสีย
  • ทรงกระเป๋าสำหรับผู้ชายมีแต่แบบผ้า ไม่ค่อยมีแบบหนังให้เลือกมากมายนัก


ข้อมูลโดย https://yotyiam.com/

กระเป๋าเป้ anello (Anello Unisex Backpacks)


กระเป๋าเป้ Anello Unisex Backpacks
กระเป๋าเป้ของ anello เป็นไอเทมชิ้นเด็ดที่เหล่าสาวกจากเมืองไทยฮิตสุด ๆ เพราะรูปทรงที่ดูเก๋ ๆ ชิค ๆ สามารถใช้งานได้หลากหลายวัตถุประสงค์ อีกทั้งยังสามารถนำมามิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าได้หลากหลายสไตล์ รูปแบบการใช้งานที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บางโอกาส อีกทั้งดีไซน์การออกแบบที่ไม่เน้นความฉูดฉาด ไม่เน้นความเป็นแฟชั่น จึงไม่ทำให้กระเป๋าเป้ของ Anello เป็นกระเป๋าที่ใช้ได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าวแล้วตกเทรนด์ แต่สามารถใช้ได้ตลอดทะลุกาลเวลาอย่างแท้จริง

ข้อดี
  • กระเป๋ามีความแข็งแรง ทนทาน
  • สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลายจุดประสงค์
  • มีหลากหลายสีให้เลือก
ข้อเสีย
  • รูปทรงมีให้เลือกไม่มากนัก




ข้อมูลโดย https://yotyiam.com/