วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2563

ทดสอบเครื่องฟอกอากาศในไทย พบหลายแบรนด์ทำไม่ได้อย่างที่โฆษณา


ข่าววงการไอที“ฉลาดซื้อ” ทดสอบเครื่องฟอกอากาศในไทย พบหลายแบรนด์ทำไม่ได้อย่างที่โฆษณา

สถานการณ์ PM 2.5 ในกรุงเทพ​ ณ​ ตอนนี้ยังคงแย่อย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น (คงได้แต่ขอฝน) จนเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเริ่มเล็งเครื่องกรองฝุ่นมาใช้งานบ้างแล้ว นิตยสาร “ฉลาดซื้อ” ฉบับออนไลน์ก็ได้เผยแพร่ผลทดสอบเครื่องฟอกอากาศที่จำหน่ายในประเทศ ซึ่งก็มีบางรุ่นที่สอบตก

ทางนิตยสารออนไลน์ ฉลาดซื้อ ได้เปรียบเทียบผลทดสอบเครื่องกรองฝุ่น PM2.5 ทั้งหมด 10 รุ่น ได้แก่
  1. Hatari HT-AP12 ราคา 4,888 บาท
  2. Philips AC1215/20 ราคา 7,990 บาท
  3. Mi AirPurifier 2S ราคา 4,098 บาท
  4. Mitsuta MAP450 ราคา 3,990 บาท
  5. Hitachi EP-A3000 ราคา 4,900 บาท
  6. Bwell CF-8400 ราคา 9,900 บาท
  7. Blueair Joy S ราคา 9,900 บาท
  8. Claire C2BU-1933 ราคา 6,990 บาท
  9. Sharp FP-J30TA-B ราคา 3,990 บาท
  10. Fanslink Air D. Cube ราคา 1,990 บาท
ขั้นตอนและกรรมวิธีการทดสอบ
ทางนิตยสารฉลาดซื้อได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศโดยมีการปรับปรุงจากมาตรฐาน JEM* ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศครัวเรือนประเทศญี่ปุ่น มีการใช้เครื่องมืออุปกรณ์และสถานที่ในการทดสอบดังนี้
  • เครื่องสร้างฝุ่น TOPAS Aerosol Generator ATM 226 ที่จะสร้างฝุ่นละอองขนาด 0.1 – 0.9 ไมครอน ออกมา โดยส่วนใหญ่จะมีขนาดอยู่ที่ 0.2 ไมครอน
  • Dusttrack DRX Aerosol Monitor 8533 เป็นเครื่องที่ใช้ในการวัดความเข้มข้น PM 2.5 โดยสามารถวัดค่าได้แบบ Real-Time
  • ห้องที่ใช้ทดสอบขนาด 26.46 ลูกบาศก์เมตร (กว้าง 3.6 x ยาว 3 x สูง 2.45 เมตร) ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศที่ใช้ทดสอบเอาไว้บริเวณริมห้อง สูงจากพื้น 70 ซม. และติดตั้งเครื่องวัดความเข้มข้นฝุ่นสูงจากพื้น 70 ซม. ตรงกลางห้อง
*Standards of The Japan Electrical Manufacturers’ Association (JEM Standards)

วิธีทดสอบ
ก่อนอื่นทีมงานของนิตยสารฉลาดซื้อจะทำการตรวจสอบห้องเพื่อทดสอบความพร้อม ว่าห้องได้มาตรฐานหรือไม่โดย
  1. เปิดเครื่องสร้างฝุ่นละอองจนได้ความเข้มข้นของฝุ่น PM 2.5 ในช่วง 1.0 – 5.0 mg/m3
  2. ทิ้งห้องไว้ 30 นาที
  3. ตรวจสอบการลดลงของฝุ่นละอองตามธรรมชาติ (Natural Decay) จะต้องไม่น้อยกว่า 80% ของค่าเริ่มต้น
การทดสอบประสิทธิภาพเครื่องฟอกอากาศแต่ละเครื่องจะทำโดยมีขั้นตอนดังนี้
  1. เปิดเครื่องสร้างฝุ่นละอองจนได้ความเข้มข้นของฝุ่น PM 2.5 ในช่วง 1.0 – 5.0 mg/m3
  2. เปิดเครื่องฟอกอากาศตรวจสอบหาการลดลงของฝุ่นละออกขณะเปิดเครื่องฟอกอากาศ (Decay of dust concentration) เป็นเวลา 90 นาที หรือจนกว่าค่าความเข้มข้นของ PM 2.5 จะเหลือน้อยกว่า 0.20 mg/m3 หรือ 20 µg/m3
  3. แต่ละเครื่อง ทดสอบเป็นจำนวนเครื่องละ 2 ครั้ง เพื่อความแม่นยำ
  4. คำนวนหาประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศ โดยจะได้มาเป็นค่า CADR หรือ อัตราการไหลของอากาศบริสุทธิ์
ผลการทดสอบ
โดยผลการทดสอบถูกแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
  1. เครื่องฟอกอากาศที่ฟอกอากาศได้น้อยมากจนผู้ทดสอบพบว่าไม่สามารถลดปริมาณฝุ่นได้คือยี่ห้อ Clair
  2. เครื่องฟอกอากาศที่ฟอกอากาศได้ แต่ไม่เป็นไปตามสเปกที่ระบุไว้คือยี่ห้อ Blueair ที่ลดปริมาณฝุ่นได้ในพื้นที่ 13.82 ตารางเมตร แต่ไม่เป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งานที่ระบุว่าเหมาะกับห้อง 16 ตารางเมตร
  3. เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องที่มีขนาด มากกว่า 20 ตารางเมตร ไม่เกิน 30 ตารางเมตร และเป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ ยี่ห้อ Hitachi, Bwell, Fanslink Air D และ Sharp
  4. เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ได้กับห้องที่มีขนาดมากกว่า 20 ตารางเมตร ไม่เกิน 30 ตารางเมตร แต่ไม่เป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ Hatari และ Mitsuta
  5. เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องที่มีขนาด มากกว่า 30 ตารางเมตร และเป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ Philips และ Mi
สรุป แบรนด์ข้างต้นที่สามารถซื้อไปใช้ได้ตามสเปกที่ระบุได้จริงคือ Hitachi, Fanshlink Air D, Sharp, Philips, Bwell และ Mi ครับ ซึ่งอ่านผลการทดสอบเต็ม ๆ ได้จากที่มาครับ จะมีรายละเอียดว่าเหมาะสำหรับห้องขนาดเท่าไหร่ด้วย


อ้างอิง ฉลาดซื้อ

0 Comments:

แสดงความคิดเห็น